Love is Blind: เราจะหลงรักคนที่ไม่เคยเห็นหน้าได้จริงเหรอ?
ใกล้จะวาไลนไทน์แล้ว เลยขอแนะนำ Reality ที่เกี่ยวกับความรักมาฝากกันค่ะ เพิ่งฉายทาง Netflix เมื่อไม่กี่สัปดาห์นี่เอง นั่นก็คือรายการ Love is Blind เวอร์ชั่นญี่ปุ่น รายการหาคู่รัก ที่มีคอนเซ็ปต์น่าสนใจคือ ต่างฝ่ายต่างจะไม่เห็นหน้ากันเลย เดตกันโดยการพูดคุย ได้ยินแค่เสียงพูดเท่านั้น
ว่าแต่คนเราจะตกหลุมรักใครสักคน แม้ไม่เคยได้เห็นหน้ากันได้จริงๆ เหรอ Reality นี้จะมาเผยให้เห็นมุมมองของความรักที่น่าสนใจ ที่เข้ากับบรรยากาศวาเลนไทน์ที่ใกล้จะมาถึงนี้
กติกาของ Love is Blind
Love is Blind มีคอนเซ็ปต์ของรายการว่า จะช่วยให้ผู้ร่วมรายการได้พบเจอคู่ที่ใช้ จนได้แต่งงานกัน โดยใช้ความผูกพันแค่หัวใจ ความรู้สึก ไม่ใช่หน้าตาค่ะ ส่วนกฎกติกาก็คือว่า ในรายการจะแบ่งผู้ร่วมรายการเป็นฝั่งชายและหญิง โดยจะอาศัยอยู่ในพื้นที่แยกโซนกัน ฝายชายจะอยู่ฝั่งหนึ่ง ฝ่ายหญิงจะอยู่อีกฝั่งหนึ่งของอีกฝากกำแพง โดยมี “ห้องเดต” ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างสองฝั่ง ซึ่งเวลาจะเดตกัน ทั้งคู่ต้องเข้าไปพูดคุยกันในห้องเดตนั้น ซึ่งห้องเดตก็จะแบ่งออกเป็น 2 ห้อง สำหรับชายและหญิง มีกำแพงกั้นระหว่างห้อง ไม่ให้เห็นหน้าตากัน ได้ยินเพียงแค่เสียงเท่านั้น เมื่อรู้สึกว่าพูดคุยกัยคู่เดตจนตัดสินใจได้แล้วว่านี่คือคนที่ใช่ ก็ให้ทำการขอแต่งงาน และเมื่อเกิดการหมั้นหมายกันแล้ว ทั้งคู่จะได้เห็นหน้ากันค่ะ และหลังจากนั้นก็จะให้ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ก็จะมีพิธีแต่งงานให้กับทั้งคู่ เป็นอันสิ้นสุดภารกิจความรักในรายการนี้
ความน่าสนใจ
1. ฉากสวย น่าประทับใจ
ก่อนอื่นเลย สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นอันดับแรก นอกจากคอนเซ็ปต์รายการเลยก็คือ ฉากของรายการนี้ค่ะ ที่เซ็ทออกมาได้อย่างสวยงาม น่าประทับใจ เหมาะกับเป็นดินแดนหนึ่งที่ห่างไกลจากโลกปัจจุบัน เป็นดินแดงที่อบอวลเป็นด้วยเรื่องราวความรักเท่านั้น ทั้งที่พักของฝ่ายหญิงชาย ที่ดู Lively น่าอยู่ หรือแม้แต่ PODS หรือห้องเดต ที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม เหมาะสำหรับเป็นสถานที่เดตแบบไม่เห็นหน้า แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าเราเหมือนนั่งอยู่ใกล้ๆ กันอย่างบอกไม่ถูก
2. ตัวตนของผู้เข้าร่วมรายการที่น่าสนใจ สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของคนรุ่นปัจจุบัน
ถ้าดูเผินๆ ก็อาจจะรู้สึกว่า ไม่น่าจะมีอะไรพิเศษ นอกจากสถานะความโสดของแต่ละคน แต่เมื่อนั่งดู นั่งฟังเรื่องราววของแต่ละคนแล้ว ทำให้เห็นว่า ผู้ร่วมรายการที่เข้ามานั้น ล้วนมีคาแร็กเตอร์ที่น่าสนใจ และสะท้อนอะไรบางอย่างออกมาจากตัวตนของเขา อย่างเช่น
ผู้ร่วมรายการส่วนใหญ่ ต่างแสดงความคิดเห็นว่า จริงๆ แล้ว เขามักจะเลือกคู่จากหน้าตาทั้งสิ้น นึกไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าต้องตกลงแต่งงานกับใครสักคนโดยที่ไม่เห็นหน้าตาเลยจะเป็นอย่างไร แต่พวกเขาก็อยากเจอคนที่เข้าใจ รู้สึกรักที่ตัวตนข้างในจริงๆ เลยเลือกที่จะเข้าร่วมรายการนี้ หรือสถานะของบางคนที่ไม่ใช่แค่โสด แต่บางคนผ่านการหย่าร้างกันมาแล้ว ที่เผยให้เห็นถึงชีวิตว่า การแต่งงานบางทีก็ใช่จุดสิ้นสุดของความรัก แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น และก็ถึงจุดจบได้เช่นกัน รวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ร่วมรายการที่ทำให้เห็นว่า ชีวิตในสมัยนี้เราไม่ได้ให้กับเรื่องความรักอย่างเดียว แต่ละคนแต่มุ่งมั่นไปกับเรื่องหน้าที่การงาน ความเป็นอยู่ กว่าจะรู้ตัวว่าต้องมีความรัก ก็ตอนที่เราอยู่กับความโสดมาอย่างเนิ่นนานเกินไปเสียแล้ว แต่อย่างว่า สิ่งสำคัญไม่ใช่การรีบมีความรัก แต่มันคือการมีความรักที่ดี และรู้สึกรักไปอย่างอัตโนมัติด้วยหัวใจ
3. ชวนให้คิดต่อว่า เราจะรักแบบไม่ได้ตัดสินใจรูปร่าง หน้าตาได้จริงๆ เหรอ
แค่ได้ยินคอนเซปต์รายการ เชื่อว่าใครๆ ต่างก็ต้องสงสัยแน่ๆ ว่าเราจะตกหลุมรักคนจากการพูดคุยได้จริงๆ เหรอ เราจะตกลงแต่งงานกับคนที่เราไม่เคยเจอหน้าเขาเลยได้เหรอ ผู้ร่วมรายการเองต่างก็สงสัยเช่นกันค่ะ และก็ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ แต่เมื่อได้ออกเดตกันจริงๆ สิ่งที่เห็นคือ แต่ละคนเกิดความรู้สึกใจเต้นตึกตักอย่างแปลกๆ จากที่รู้สึกเฉยๆ กลับกลายเป็นว่าอยากคุยกับคนนั้นซ้ำๆ อยากมาคุยกันอีกเร็วๆ หรือบางคนถึงขั้น ฉันหยุดคิดถึงเขาไม่ได้เลย แม้จะไม่รู้เลยว่า หน้าตา รูปร่างเขาเป็นอย่างไร และบางคู่ถึงได้ค้นพบคำตอบว่า แท้จริงแล้วความรักที่เขากำลังตามหา มันเป็นรูปแบบไหนกันแน่ที่พวกเขาต้องการจริงๆ
“ไม่ใช่หน้าตาของเธอที่ผมอย่างเห็น
ผมอยากเห็นสิ่งที่อยู่ในใจเธอจากคำพูดของเธอมากกว่า”
4. บทสนทนาที่ชวนกระตุกต่อมคิดเรื่องราวของชีวิต
จุดเด่นของรายการนี้คือ เป็นรายการที่ดำเนินไปด้วยบทสนทนาล้วนๆ เพราะทุกคนจะต้องมานั่งในห้องเดต และทำความรู้จักกันผ่านการพูดคุยเท่านั้น ตอนแรกก็รู้สึกว่า มันจะน่าเบื่อเกินไปหรือเปล่า แต่พอมาดูจริงๆ กลับรู้สึกว่า ช่วงที่แต่ละคู่มาพูดคุยกันนั้น น่าสนใจกว่าที่คิดค่ะ ทั้งมุมมองในเรื่องการใช้ชีวิตคู่ ปมความเจ็บป่วยจากการแต่งงานและผ่านการหย่าร้างกันมา ความแตกต่างทางเรื่องอายุ สิ่งเหล่านี้ แม้จะดูเป็นเรื่องค่านิยม สำหรับบางคนอาจเป็นปัญหา แต่สำหรับบางคนไม่ใช่ปัญหาอะไร ถ้าสิ่งที่อยู่ในใจยังสวยงาม บางคนมีปัญหาในชีวิต อีกฝ่ายก็เลือกที่จะนั่งพูดให้กำลังใจ แชร์มุมมองของชีวิตของตัวเองบ้าง เพื่ออยากให้รู้ว่า ชีวิตต่อจากนี้ ไม่ได้มีตัวคนเดียวอีกแล้วนะ
หรือแม้แต่ประเด็นเรื่องความรัก ในรายการนี้ทุกคนต้องตัดสินใจเลือกคนที่เราชอบที่สุดจากน้ำเสียง และจากการพูดคุยกัน ทุกคนต้องใช้พลังอย่างมากในการประเมินสิ่งต่างๆ ผ่านน้ำเสียง แต่มีบางคนค่ะ ที่เธอรู้สึกว่า เธอแทบจะไม่ต้องใช้การประมวลผลอะไรมากมายเลย แค่คุยกันแล้วรู้สึกลื่นไหล ราบรื่น และจู่ๆ ก็รู้สึกว่าชอบ จนทำให้เธอแปลกใจเหมือนกันว่า เป็นแบบนี้จะดีเหรอ รักไปแบบไม่มีเหตุผลอะไรเลย
“ฉันว่าไม่มีเหตุผลน่ะดีแล้ว ถ้าเธอรู้ว่าทำไม แปลว่าเธอใช้สมอง
แต่ถ้าหัวใจเธอขยับตอบรับ ให้หัวใจตัดสินไม่ดีกว่าเหรอ”
5. อิ่มใจ เหมือนกำลังได้รักใครสักคน
สำหรับรายการ Reality นี้ เหมือนกับว่าเรากำลังดูหนังรักหลายๆ เรื่องในรายการเดียว มันอาจจะน่าเบื่อนิดหน่อย ที่ต้องมานั่งฟังคนคุยกัน แต่น่าประหลาดใจตรงที่ว่า ทุกบทสนทนานั้นมีความหมาย เป็นสิ่งสะท้อนเรื่องราวของชีวิต และทุกครั้งที่ทุกคู่ออกเดต ก็ค่อยๆ ทำให้เรารู้สึกเกิดรู้สึกดีๆ ขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่า เรื่องราวของความรักได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้จะไม่ได้เห็นหน้าเห็นตากัน แต่เหมือนกับว่า การพูดคุยกันได้ทำให้ทั้งคู่ได้เปิดประตูเข้าไปสำรวจในจิตใจและตัวตนที่แท้จริง แบบไม่มีสิ่งอื่นมาปิดกั้น แม้จะมีกำแพงห้องกั้นทั้งคู่อยู่ก็ตาม ชวนให้เราได้คิดอีกครั้งว่า หากเราจะรักใครสักคน เราจะรักเขาที่อะไร?
ในวันแห่งความรักนี้ ใครอยากเติมเต็มมุมมองความรัก ไม่ว่าคุณจะมีคู่แล้ว หรือว่ายังโสดอยู่ ก็เป็นรายการที่น่าติดตามชมค่ะ Love is Blind รายการที่ชวนให้คุณได้เข้าใจความหมายของคำว่ารักได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ติดตามชมได้วันนี้ที่ Netflix ค่ะ
สามารถติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับละครญี่ปุ่น และพูดคุยกับ ChaMaNow ได้ทาง FB: Sakura Dramas
เรื่องแนะนำ :
– กลับมาอีกครั้ง 99.9 Keiji Senmon Bengoshi ทนายผู้ค้นหาความจริง 0.1% !!!
– รีวิว Life’s Punchline ตลกเปิดชีวิต ชีวิตคณะตลก ที่ไม่ตลก
– สมัยยังไม่มี Netflix ดูซีรีส์ญี่ปุ่นซับไทยที่ไหนกัน?
– 5 อันดับ ซีรีส์ญี่ปุ่น เรตติ้งสูงสุดในปี 2021
– รีวิวซีรีส์ญี่ปุ่น HanOshi ถูกขอแต่งงาน หลังเจอกันแค่ 30 นาที!
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก:
– รายการ Love is Blind: Japan ทาง Netflix
#Love is Blind: เราจะหลงรักคนที่ไม่เคยเห็นหน้าได้จริงเหรอ?