สปอยล์เบาๆ กับหนังญี่ปุ่น “WHAT DID YOU EAT YESTERDAY: THE MOVIE”
เค้าโครงเรื่องของหนัง WHAT DID YOU EAT YESTERDAY: THE MOVIE เป็นเรื่องราวของ LGBTQ ในญี่ปุ่น ซึ่งเดิมทีเป็นฉบับมังงะ ก่อนที่จะถูกนำมาทำเป็นซีรีส์ญี่ปุ่นจนโด่งดัง แล้วก็สร้างเป็นภาพยนตร์ จนทำให้เราได้มีโอกาสได้ชมกันในปีนี้
โดยเรื่องราวในฉบับภาพยนตร์นั้น ก็เหมือนส่วนต่อขยายมาจากภาคซีรีส์ ส่วนใครที่ยังไม่เคยดูซีรีส์มาก่อน ช่วงแรกๆ ก็อาจจะงงกับที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัวนิดหน่อย แต่ก็น่าจะตามเรื่องทันได้ไม่ยาก
ขอสารภาพก่อนเลยว่า เราก็ยังไม่เคยดูซีรีส์แบบเต็มๆ เรื่องมาก่อน แค่เคยดูแบบผ่านๆ และอ่านเนื้อเรื่องย่อมาบ้าง ตอนมาชมฉบับภาพยนตร์ก็เลยตามเรื่องราวได้ทันแบบเนียนๆ
ฉบับภาพยนตร์นั้นเป็นเรื่องราวของการอยู่ร่วมกันของตัวเอก หลังจากที่ฝ่ายพระเอกได้นำนายเอกไปเปิดตัวกับที่บ้านมาแล้ว (น่าจะเป็นเรื่องราวตั้งแต่ตอนที่อยู่ในฉบับซีรีส์) มีการพากันไปเที่ยวฉลองวันเกิดแบบกระหนุงกระหนิงที่เกียวโต ก่อนที่จะกลับเข้ากรุงไปเผชิญกับปัญหาของการเป็น LGBTQ ในญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะไม่ได้รับการเปิดใจมากนัก
ความประทับใจจาก WHAT DID YOU EAT YESTERDAY: THE MOVIE
(1) ความเป็น LGBTQ ที่ตัวเอกในเรื่องนี้แสดงออกมา ค่อนข้างแตกต่างจากหนังญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ ที่เป็นแนวเดียวกัน คือตัวนายเอกของเรื่อง ค่อนข้างแสดงความ “สาว” แบบแทบไม่มีกั๊ก สาวแบบน่าหยิกแรงๆ เลยทีเดียว ทำให้มีหลายๆ ฉากสามารถเรียกเสียงขบขันเพราะความน่ารักเล่นเกินเบอร์ของคุณเธอ
(2) ความขี้มโน ตอนช่วงแรกๆ คิดว่ามีแค่นายเอกเท่านั้นที่มโนเก่ง คิดเอง เออเอง แต่ตอนหลังถึงได้รู้ว่าพระเอกก็ใช่ย่อย อย่างไรก็ตาม คู่นี้มีความน่ารักอยู่ที่… สุดท้าย ก็คุยกัน ไม่เก็บความมโนไว้จนฟุ้งซ่าน (แต่ก็ฟุ้งอยู่นานพอควรแหล่ะ) เรื่องราวความเข้าใจผิดต่างๆ จึงมักคลี่คลายไปได้ด้วยดี
(3) อาหารการกิน ที่ต้องขอบอกเลยว่า แทบจะเป็นตัวดำเนินเรื่อง โผล่ฉากของกิน+ฉากตอนกิน+ฉากทำอาหารมาได้ตลอดแบบเนียนๆ ไม่รำคาญตานะ แต่เหมือนเป็นการนำเสนอเรื่องราวผ่านการใช้ชีวิตประจำวันซะมากกว่า ประมาณว่า… เจอกันตอนมื้อเช้า-กลางวัน-เย็น จึงได้พูดคุยกันไรงี้ ที่สำคัญ! ดูเรื่องนี้แล้วได้สูตรและทริคในการทำอาหาร มาให้เราได้ลองทำตามด้วยล่ะ
(4) เรื่องเที่ยว ที่เกียวโต บอกเลยว่าเป็นฉากต้นเรื่องที่แม้จะไม่ได้เยอะมาก แต่ทำให้คิดถึงญี่ปุ่นแบบโคตรๆ เพราะถ่ายมุมสวยๆ ของเกียวโตแบบภาพรวมมาให้เราได้เห็น บางที่เคยไปแล้วก็คิดถึง บางที่ไม่เคยไป เห็นแล้วก็ตาโตอยากไป ถึงขนาดนั้นเลยทีเดียว แต่บรรยากาศในเรื่องมันเนียนตามาก ไม่ได้ดูยัดเยียดว่า เฮ้ย! นี่เป็นโฆษณาการท่องเที่ยวนะ แต่นี่เป็นแค่ฉากในหนัง ที่เห็นแล้วอยากตามรอย
(5) “เจ้าตัวแสบ” เราหมายถึงเจ้าเด็กหนุ่มในร้านทำผม (ที่ทำงานของฝ่ายนายเอก) เป็นตัวละครที่ค่อนข้างมีลักษณะนิสัยเฉพาะตัว ซึ่งก็ไม่สามารถฟันธงลงไปได้แบบสรุปง่ายๆ ว่าเจ้านี่มันคนดีหรือมันคนเลวกันแน่นะ เพียงแต่เราคิดว่าเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับความคิดของตัวเองมากๆ คิดอะไร เชื่ออะไร ก็ทำอย่างนั้น พูดอย่างนั้น
เราชอบประโยคหนึ่งของเขาที่ทำให้เราได้คิดตาม เพราะเจ้าแสบนี่ชอบพูดตรงๆ จนดูเหมือนไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของคนฟัง แล้วเขาก็ให้เหตุผลว่า “ก็ถ้าไม่พูดประมาณนี้กับคนใกล้ตัว แล้วจะไปพูดกับใครได้ล่ะ” ซึ่งสถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสร้างความร้าวฉานในความสัมพันธ์ แต่มันก็คือจริง! จนบางครั้งก็สามารถทำให้รู้สึกได้ว่า “คนที่ทำร้ายเราได้มากและง่ายที่สุด ก็คือคนใกล้ตัวนั่นเอง”
เรื่องราวบางเรื่อง อาจจะมีเนื้อหาที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ฟังโดยตรง ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะพูดหรือเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้กับเฉพาะคนที่สนิทฟังเท่านั้น แล้วก็ทำอย่างนั้นด้วยความสนิทสนมจริงๆ จนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสบายใจที่จะได้พูดกับคนๆ นั้น (โดยไม่ได้คิดอะไรมาก แม้เนื้อหาอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ฟังก็ตาม) ก็เพราะบางเรื่องนั้น ไม่มีทางที่เขาจะนำไปพูดกับคนอื่นอย่างแน่นอน ดังนั้นคนใกล้ตัวนี่แหล่ะ คือผู้ที่รับภาระเป็นที่ระบายไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะพ่อแม่ลูก สามีภรรยา คู่รัก เพื่อนสนิท ฯลฯ บอกเลยว่า… น่าจะเคยเจอกันมาแล้วทุกคน
ดังนั้นไม่ว่าจะสนิทกันในรูปแบบไหน ถ้าอยากจะให้ความสัมพันธ์เหนียวแน่นยั่งยืน ไม่ทะเลาะกันเพราะต้องทนฟังคำพูดตรงๆ หรือเรื่องราวทำร้ายจิตใจ ก็ต้องทำความเข้าใจหรือยอมรับกันในเรื่องนี้ก่อน เพราะอีกฝ่ายอาจจะรู้สึกสนิทกับเรามาก หรือแคร์เรามาก จึงกล้าที่จะพูดแบบนั้นกับตัวเรา มิฉะนั้นเขาก็คงไปพูดกับคนอื่นแทนแล้วล่ะ
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเปิดฉากทะเลาะ ว่าไม่ชอบฟังเรื่องราวแบบนี้หรือคำพูดเสียดแทงแบบนั้น อีกฝ่ายที่แคร์เรามาก ก็อาจจะเลือกที่ไม่พูด (เล่า) เรื่องราวที่เขาคิดว่าปกติเขาจะพูดเฉพาะกับคนที่สนิทสนมเท่านั้นไปเลยก็ได้ เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจเรา ผลที่ได้… ก็อาจจะกลายเป็นว่า เขาจะไม่ระบายอะไรให้เราฟังอีกเลยก็ได้ ปกปิดเรื่องราวสำคัญๆ บางเรื่องไปเลยก็ได้ ที่ร้ายแรงกว่านั้น ก็อาจจะกลายเป็นว่าเขาไม่มีที่ให้ปรับทุกข์ หรือที่ให้ระบาย ทำให้เครียดไปเลยก็ได้ สุดท้ายความสัมพันธ์อาจจะแย่จนกลายเป็นความไม่เข้าใจกัน เพราะมีเรื่องที่ไม่ได้คุยกันก็เป็นไปได้ ก็อย่างที่บอก… ว่านี่เป็นเรื่องที่สามารถสร้างความร้าวฉานในความสัมพันธ์แบบสุดๆ ทั้งๆ ที่ก็เป็นแค่ “เรื่องการพูดคุยกัน” เองแท้ๆ
เอาเป็นว่า เจ้าตัวแสบนี่นะ เหมือนจะไม่มีบทบาทใหญ่โตในเรื่อง แต่เป็นตัวละครที่หากมีภาคต่อ ก็ถือว่าน่าติดตามมากๆ เลยทีเดียว ว่าเรื่องราวของคนแบบเขาน่าจะเป็นอย่างไร
ถ้าใครมีโอกาสได้ดูแล้ว สำหรับ What did you eat Yesterday The Movie ก็ลองมาแชร์ความรู้สึกกันได้น๊า
หนังเรื่องนี้เข้าโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย วันที่ 21 กรกฎาคม 2565 จ้า
เรื่องแนะนำ :
– หนังญี่ปุ่นเข้าไทย WHAT DID YOU EAT YESTERDAY: THE MOVIE
– หนังญี่ปุ่นเข้าไทย WHAT TO DO WITH THE DEAD KAIJU? ซากนรกไคจู
– หนังญี่ปุ่นเข้าไทย THE LAST 10 YEARS
– หนังญี่ปุ่นเข้าไทย BRAVE: GUNJO SEKI เบรฟ เจาะเวลา ฉะซามูไร
– รีวิว Life’s Punchline ตลกเปิดชีวิต ชีวิตคณะตลก ที่ไม่ตลก
#สปอยล์เบาๆ กับหนังญี่ปุ่น “WHAT DID YOU EAT YESTERDAY: THE MOVIE”