Tonight, at Romance Theater “นายจะใช้ชีวิตโดยไม่สัมผัสตัวคนเราได้เหรอ?” จะเป็นอย่างไร ถ้าหากเราไม่สามารถสัมผัสคนที่เรารักได้ อยากจะกุมมือเขาไว้ในยามที่เขาท้อแท้ก็ทำไม่ได้ อยากจะกอดกัน เพื่อสัมผัสไออุ่นก็เป็นเรื่องต้องห้าม
“นายจะใช้ชีวิตโดยไม่สัมผัสตัวคนเราได้เหรอ?” จะเป็นอย่างไร ถ้าหากเราไม่สามารถสัมผัสคนที่เรารักได้ อยากจะกุมมือเขาไว้ในยามที่เขาท้อแท้ก็ทำไม่ได้ อยากจะกอดกัน เพื่อสัมผัสไออุ่นก็เป็นเรื่องต้องห้าม หากเป็นเช่นนี้ เราจะยังอยากรักคนคนนั้นต่อไป หรือหาคนใหม่ที่มอบสัมผัสเหล่านั้นได้ นี่คือพล็อตหนังรักแฟนตาซีญี่ปุ่น Tonight, at Romance Theater ที่จะมาเปิดอีกมุมมองที่น่าสนใจของความรัก
ความรักระหว่างโลกแห่งภาพยนตร์และโลกแห่งความจริง
เรื่องราวความรักของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า “เคนจิ” (เคนทาโร่ ซาคากุจิ) ที่มีความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นผู้กำกับหนัง ในทุกๆ วันเขาจะเหมาโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง เพื่อเปิดดูภาพยนตร์เก่าๆ ขาวดำเรื่องหนึ่ง เป็นภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิง “มิยูกิ” (อายาเสะ ฮารุกะ) เจ้าหญิงสุดแก่นแก้วที่เบื่อชีวิตในวัง และออกมาเที่ยวเล่นในป่า ซึ่งความงดงามของนางเอกภาพยนตร์ขาวดำนี้เข้าตาเคนจิอย่างจัง ทำให้เขาตกหลุมรัก แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้ว่า ผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกซื้อไป นั่นหมายความว่า ต่อจากนี้เขาอาจจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว
วันนั้นเคนจิเลยเปิดดูภาพยนตร์เรื่องนั้นอย่างเศร้าใจ ที่จะไม่ได้เจอสาวงามคนนี้อีกต่อไปแล้ว แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น คืนวันนั้นฝนตกอย่างหนัก ฟ้าผ่าลงมาจนไฟฟ้าดับ และพอไฟมา เขาก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่ง ที่มีกายเป็นสีขาวดำ ใช่แล้วค่ะ เธอคนนั้นคือเจ้าหญิงมิยูกิ ที่ทะลุออกมาจากจอ เธอบอกว่า ไม่ใช่นักแสดงคนนั้น แต่เธอคือเจ้าหญิงมิยูกิจากเนื้อเรื่องในภาพยนตร์เรื่องนั้น (อย่างเช่น เรากำลังดูละครเรื่อง Hanzawa Naoki คนที่ทะลุออกมาก็คือฮันซาว่า ไม่ใช่นักแสดงที่ชื่อซากาอิค่ะ) หลังจากนั้นเจ้าหญิงมิยูกิก็ให้เคนจิเป็นทาสรับใช้ และทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตร่วมกัน ในขณะเดียวกันเคนจิก็ต้องปกปิดไม่ให้ทุกคนรู้ว่า เธอเป็นใครมาจากไหน (เพราะถึงบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ) ด้วยการให้เธอแต่งหน้าปกปิดผิวกายสีขาวดำ และนำชุดที่มีสีสันมาสวมใส่ ไม่ให้ใครจับได้ว่าเธอมาโลกจากภาพยนตร์
วันเวลาผ่านไป ทั้งคู่ก็ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน จนค่อยๆ ก่อเป็นความรู้สึกดีๆ ที่เรียกว่า “รัก” ขึ้นมา แต่ก็กลับมีความลับอีกหนึ่งอย่าง ที่อาจทำให้ทั้งคู่อยู่ร่วมกันตลอดไปไม่ได้ นั่นก็คือ หากเจ้าหญิงมิยูกิสัมผัสตัวใครเข้า หรือถูกใครสัมผัสตัว เธอจะต้องหายจากโลกนี้ไปตลอดกาล และด้วยเงื่อนไขนี้เลยเป็นอุปสรรคของทั้งคู่ว่าจะหาทางออกกับรักครั้งนี้อย่างไร กับรักที่สัมผัสไม่ได้ จะทำอย่างไรไม่ให้คนที่เรารักหายจากชีวิตเราไปชั่วนิรันดร์
เพราะเธอ ทำให้โลกทั้งใบมีสีสันขึ้นมา
จุดเด่นในเรื่องนี้อีกอย่างก็คือ “สีสัน” ค่ะ ตอนแรกจะเห็นว่า นางเอกเหมือนมาจากโลกที่มีแต่สีขาวดำเท่านั้น สีแดง สีฟ้า สีเหลือง เป็นสิ่งที่เธอไม่รู้จัก พอเธอข้ามมายังมนุษย์ เธอก็ได้แต่ถามเคนจิอยู่ตลอด จากโลกขาวดำของเธอ ก็ค่อยๆ มีสีสันขึ้นมา เปรียบเสมือนคนเราเวลามีความรัก ไม่ว่าอะไรก็ดูงดงาม และมีสีสันไปหมด เคนจิเหมือนเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มอบความสุข ความรู้สึกดีๆ ที่ทำให้โลกของเจ้าหญิงมิยูกิสดใสขึ้นมา และดูเหมือนโลกของเคนจิก็สดใสขึ้นมาด้วยเช่นกัน เมื่อหญิงสาวที่เขาตกหลุมรักได้มาอยู่ตรงหน้าเข้าแล้ว แม้ทั้งคู่จะมาจากโลกคนละใบ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่นำพาให้ทั้งคู่มาพบกัน และได้มาอยู่ในโลกใบเดียวกันในท้ายที่สุด

เจ้าหญิงมิยูกิ: โลกที่ฉันจากมาไม่เคยมีสีสันหรอก
เคนจิ: ที่นี่มีสีสันอีกมากมายที่ผมอยากเห็นไปพร้อมกับคุณ
รักที่สัมผัสไม่ได้ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกว่า “รัก”
ดูเรื่องนี้แล้วนึกถึงคำพูดประมาณว่า “ถ้ารักกัน อย่าต้องทำให้เธอบอบช้ำ” ในเรื่องนางเอกเป็นคนที่ทะลุออกมาจากจอภาพยนตร์ที่พระเอกชอบดูเป็นประจำ พระเอกรู้สึกหลงรักนางเอกในจอมาก และวันหนึ่งเธอคนนั้นก็ข้ามมายังโลกของเขาจริงๆ แต่ความลับหนึ่งที่หญิงสาวไม่ทันได้บอกในตอนแรกก็คือ “หากเธอสัมผัสตัวใครเข้า เธอจะหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล” นั่นหมายความว่าถ้าเขาทั้งสองจะรักกัน ก็ห้ามแตะเนื้อต้องตัวกันเลย แน่นอนว่า เป็นใครก็ต้องรู้สึกว่า “จะเป็นไปได้เหรอ เรารักกัน แต่เราจะสัมผัสไออุ่นซึ่งกันและกันไม่ได้เลย เราจะอยู่ด้วยกันได้จริงๆ เหรอ”
ตอนแรกก็สงสัยกับพล็อตหนังแบบนี้เหมือนกันนะว่า ทำไมคนแต่งถึงเขียนประเด็นนี้กันนะ? แต่พอดูจบก็รู้สึกว่า มันสื่อถึงเรื่องการปกป้องคนที่เรารักได้ดีมากๆ คนเราหากรักกันจริง มันไม่ใช่แค่การจะสัมผัสกัน หรือแสดงความรักด้วยการโอบกอด จับมือ และอื่นๆ เท่านั้น แต่มันรวมถึงการปกป้องคนที่เรารักให้อยู่เคียงข้างเราไปตลอดกาล
ผลสุดท้ายแล้ว ต่อให้จับต้องได้ แต่ต้องทำกับคนที่เราไม่ได้รู้สึกอะไร มันก็ไม่มีความหมาย แต่สำหรับคนที่เรารักอย่างสุดหัวใจ แค่ได้เจอหน้ากัน ได้พูดคุยกัน ได้อยู่เคียงข้างกัน อาจจะลึกซึ้งยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด แม้จะจับต้องกันไม่ได้ แต่ก็มากไปด้วยความรู้สึก
จุดที่น่าสนใจ
1. เป็นภาพยนตร์ที่ผสมกลิ่นไอของภาพยนตร์หลายเรื่องไว้ในเรื่องเดียว
นอกจากภาพยนตร์เรื่องนี้จะให้บรรยากาศของยุค 60 หรือยุคที่เปลี่ยนผ่านจากยุคภาพยนตร์มาเป็นยุคโทรทัศน์ หากคุณเป็นคอภาพยนตร์ฝั่งตะวันตก ก็อาจจะรู้สึกคุ้นๆ อยู่บ้างว่า บางฉากมีความคล้ายกับภาพยนตร์ฝรั่งบางเรื่องในยุคๆ นั่นด้วย จากข้อมูลแล้ว เรื่องนี้ได้นำกลิ่นไอของภาพยนตร์หลายเรื่องมาผสมไว้ค่ะ ซึ่งสาวอายาเสะ ฮารุกะ นางเอกของเรื่องเคยให้สัมภาษณ์ว่า หนึ่งในเหตุผลที่รับแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ
“หนังเรื่องนี้ให้ความเคารพต่อภาพยนตร์ชื่อดังในอดีตที่คนหลงลืมลงไปด้วย อย่างเช่น ความสัมพันธ์ของเคนจิ ที่หลงใหลในภาพยนตร์ และฝันจะเป็นผู้กำกับหนังกับ ฮอนดะ ผู้จัดการโรงละครก็ให้ความคารวะแด่ภาพยนตร์เรื่อง Cinema Paradiso(1988), ความอัศจรรย์ที่เชื่อมโลกภาพยนตร์กับโลกความเป็นจริง ทำให้คิดถึงเรื่อง Sherlock Jr.( 1924) และเรื่อง The Purple Rose of Cairo(1985), เด็กหนุ่มผู้ต้อยต่ำที่ตกหลุมรักเจ้าหญิงทำให้คิดถึง Roman Holiday (1953), ความเปลี่ยนแปลงหลังฟ้าผ่า มีกลิ่นไอของ Back to the Future(1985), ภาพยนตร์ “เจ้าหญิงทอมบอยกับ 3 อสูร” ที่อยู่ในภาพยนตร์อีกทีแด่เรื่อง The Wonderful Wizard of Oz(1900) นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันตัดสินใจรับแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ทันทีที่ได้อ่านบทค่ะ”
2. นักแสดงลงตัว
นักแสดงก็เป็นอะไรที่ลงตัวค่ะ เคนทาโร่ก็รับบทเป็นพระเอกหนุ่มขี้อาย แสนซื่อได้เนียนมากๆ ส่วนอายาเสะก็สวยสง่าสมกับเป็นเจ้าหญิงจริงๆ แม้จะมีคนบอกว่า นางเอกดูอายุห่างจากพระเอกไปหน่อย แต่ส่วนตัวมองว่า อายาเสะก็ยังดูสาว สวยไม่มีเปลี่ยน เล่นบทบาทนี้ออกได้อย่างเหมาะสม สง่างามสมกับเจ้าหญิง และบางมุมก็มีความน่ารัก อ่อนไหว ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง
3. พล็อตรักแบบแฟนตาซี แต่ยังคงทิ้งความเรียลเอาไว้
รวมถึงเรื่องพล็อต ก็น่าสนใจตรงที่เป็นความรักระหว่างชายหนุ่มในโลกมนุษย์กับหญิงสาวในจอภาพยนตร์ มันก็จะออกแฟนตาซี แต่อาจจะไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง ตรงที่คนหลุดมาจากจอได้อย่างไร แถมคนที่หลุดออกมาก็ไม่ใช่นักแสดง แต่เป็นคนที่รับบทบทนั้น (ซึ่งตรงนี้เรามองว่า มันอาจเป็นความแฟนตาซีที่ภาพยนตร์สร้างสรรค์ขึ้นค่ะ) และถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะออกเป็นแนวแฟนตาซี แต่ความรักของทั้งคู่มันดูเป็นโลกจริง ตรงที่ว่า บางอุปสรรค ปาฏิหาริย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากความรักของพวกเขาเอง
4. ฉากเซอร์วิสรักๆ ที่น้อย แต่อิ่มเอมใจ
ถือว่าเป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ ด้วยเงื่อนไขความรักของพระเอก นางเอกที่ไม่สามารถสัมผัสตัวกันได้ เลยเป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นพระ-นางจับมือ กอด จูบกัน แต่ถึงอย่างนั้น เราก็สัมผัสได้ถึงความรักที่ทั้งคู่มีให้กัน ด้วยการแสดงความรักแบบอื่นๆ อย่างเช่น ฉากจูบผ่านกระจกค่ะ อยากจะสัมผัสกัน แต่ก็สัมผัสไม่ได้ ก็เลยใช้กระจกใสเป็นตัวกั้นล่ะกัน แม้จะมีแผ่นกระจกมากั้น แต่เพียงเท่านี้ ก็ทำให้ทั้งคู่มีความสุขขึ้นมาอีกนิดแล้ว ซึ่งฉากนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์คลาสสิคเรื่อง Till We Meet Again(1950) อีกด้วยค่ะ
5. การเล่าเรื่องที่น่าติดตามต่อ
เรื่องราวความรักมหัศจรรย์นี้ ถูกเล่าสลับไปมากับยุคอดีตกับยุคปัจจุบัน ผ่านชายชราคนหนึ่งที่ชื่อว่า “เคนจิ” หรือตัวเคนจิเองในวัยชรา ที่กำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล ครั้งหนึ่งเรื่องราวความรักรักของเขาเคยเกือบถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วย แต่ก็มีเหตุบางอย่าง ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ถ่ายทำ ไม่ได้แต่งต่อจนจบเรื่องด้วยซ้ำ ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาเลยได้เล่าเรื่องนี้ให้พยาบาลคนหนึ่งฟัง นางพยาบาลก็เปรียบเสมือนว่านั่งอยู่ในฐานะเดียวกับคนดู ที่คอยลุ้นต่อไปว่าเรื่องราวความรักนี้จะเป็นไปอย่างไร เล่าสลับไปมา และเชื่อมเรื่องในอดีตกับปัจจุบันให้มาบรรจบกันได้อย่างงดงามค่ะ
จุดด้อยเล็กๆ น้อยๆ
ในช่วงแรกๆ เรื่องจะดำเนินไปอย่างช้า อาจจะมีเบื่อๆ บ้าง แต่พอถึงกลางเรื่อง เรื่องก็พยายามเล่าต่ออย่างรวดเร็ว ก็มีข้อดีคือ ทำให้น่าติดตามมากขึ้น แต่ข้อเสียคือ ความสัมพันธ์พระ-นางดูพัฒนาเร็วไปหน่อย จนเราไม่ค่อยอินว่า รักกันอย่างลึกซึ้งขนาดนั้นได้อย่างไร แต่เรื่องก็ดำเนินต่อไปให้เรารับรู้ได้ว่า มันคือรักที่ยิ่งใหญ่ของคนสองคนที่พรากจากกันไม่ได้จริงๆ แล้วหลังจากนั้นภาพยนตร์ก็ขยี้ให้น้ำตาซึมเอาในตอนจบ ที่มาสู่บทสรุปของความรักที่สัมผัสกันไม่ได้
หากใครอยากรู้ว่า ความรักที่สัมผัสกันไม่ได้ของทั้งสองจะลงเอยกันแบบไหน ลองหาคำตอบได้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ค่ะ
“ความรัก…ถ้ารักใครก็ได้ ก็คงเรียกว่ารักไม่ได้หรอก”
สามารถติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับละครญี่ปุ่น และพูดคุยกับ ChaMaNow ได้ทาง FB: Sakura Dramas
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– 5 นักสืบหญิงซีรีส์ญี่ปุ่นยอดอัจฉริยะ ไม่มีคดีไหนที่ไขไม่ได้
– Honnouji Hotel ลิฟต์ย้อนเวลาไปหาท่านโนบุนากะ
– Teiichi no Kuni เมื่อผมอยากจะเป็นนายกฯ
– ดาราหนุ่มญี่ปุ่นผู้มีเจ้าของแล้ว ประจำไตรมาศแรกปี 2018
– 5 ซีรีส์ญี่ปุ่น Live Action ทำแล้วปัง ดังไม่แพ้มังงะ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
– ภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Tonight, at Romance Theater
– http://www.naewna.com/entertain/334158
– https://www.oricon.co.jp/photo/2510/153026/
– https://gingerweb.jp/lifestyle/slug-n0b7008f2083e
– http://mami-ch.blog.so-net.ne.jp/2017-08-05
– http://realsound.jp/movie/2018/02/post-162483.html
– https://otocoto.jp/interview/romancegekijo-2/
– http://top.tsite.jp/entertainment/cinema/i/38485430/index
– https://blog.goo.ne.jp/taku6100/e/0085bc8d19a5fb58cd687d800a2fb752
– https://news.mynavi.jp/article/20180206-581453/
#Tonight, at Romance Theater