สันติภาพ สิ่งที่มนุษย์ทุกคนใฝ่หา อยากจะให้เกิดขึ้น แต่ทุกคนก็ยังใช้ความรุนแรงเพื่อที่จะได้มาซึ่งสันติภาพ รบเพื่อชัยชนะและเรียกสิ่งนั้นว่า “สันติภาพ” ไม่แปลกที่พวกเขาจึงได้มาแค่เปลือกของสันติภาพ เพราะก็ยังจะมีคนที่พ่ายแพ้และคิดจะแก้แค้นอยู่ดี วังวนนี้จึงไม่มีวันจบสิ้น สันติภาพจึงเป็นแค่คำพูดเท่ๆ ของคนบางคนเท่านั้น…
สันติภาพ สิ่งที่มนุษย์ทุกคนใฝ่หา อยากจะให้เกิดขึ้น แต่ทุกคนก็ยังใช้ความรุนแรงเพื่อที่จะได้มาซึ่งสันติภาพ รบเพื่อชัยชนะและเรียกสิ่งนั้นว่า “สันติภาพ” ไม่แปลกที่พวกเขาจึงได้มาแค่เปลือกของสันติภาพ เพราะก็ยังจะมีคนที่พ่ายแพ้และคิดจะแก้แค้นอยู่ดี วังวนนี้จึงไม่มีวันจบสิ้น สันติภาพจึงเป็นแค่คำพูดเท่ๆ ของคนบางคนเท่านั้น…
ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ในปี 1983 มีมังงะเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากๆ นั่นคือเรื่อง Nausicaä of the Valley of the Wind หรือชื่อไทยว่า มหาสงครามหุบเขาแห่งสายลม ปีต่อมา 1984 เรื่องนี้ถูกนำมาสร้างเป็นอนิเมชั่นและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจนทำให้เกิดสตูดิโอขึ้นมาสตูดิโอหนึ่งที่หลายๆ คนคงจะรู้จักกันดี นั่นคือ Studio Ghibli (สตูดิโอ จิบลิ) จึงพูดได้ว่า อนิเมชั่นเรื่องนี้คือต้นกำเนิดของสตูดิโอระดับตำนานสตูดิโอนี้ก็ว่าได้…
มาถึงเรื่องราวของ Nausicaä of the Valley of the Wind ที่ผมหยิบมาเล่าให้ฟังในวันนี้ อ่านจากชื่อไทย มหาสงครามหุบเขาแห่งสายลม น่าจะต้องเป็นอนิเมชั่นแอคชั่นรบพุ่งกันทั้งเรื่อง แต่เปล่าเลยครับ ส่วนตัวผมรู้สึกว่าเรื่องนี้พูดถึงเรื่องสันติภาพเป็นแก่นของเรื่อง และพูดได้ดีจนน่าจะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพไปเลย เป็นเรื่องของโลกในอีกพันปีข้างหน้า หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งโลกนั้นเต็มไปด้วยมลพิษที่มนุษย์สร้างขึ้น ทะเลก็กลายเป็นทะเลกรด ป่าก็กลายเป็นป่าพิษ ที่มีหมอกพิษปกคลุมและเป็นที่อยูู่อาศัยของแมลงยักษ์นาๆ ชนิด ที่กลายเป็นประชากรหลักของโลกนี้เพราะมีจำนวนมหาศาล มนุษย์ก็กระจัดกระจายออกไปในที่ต่างๆ ที่ยังพออยู่อาศัยได้
เจ้าหญิง “เนาซิก้า” ครับ เป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองหุบเขาแห่งสายลม
ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่กันอย่างสงบสุข ขณะที่คนในเมืองและมนุษย์ทุกคน กลัวแมลงยักษ์กัน แต่เจ้าหญิงนั้นกลับพยายามที่จะรู้จักแมลงพวกนี้และชอบเข้าไปในป่าพิษบ่อยๆ เพื่อศึกษาและเรียนรู้ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับแมลง
แต่ความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน วันหนึ่งก็มึกองกำลังของพวก “โทลเมเคี่ยน” ภายใต้การนำของเจ้าหญิงคูชาน่า
มาโจมตีและพยายามจะให้เมืองหุบเขาแห่งสายลมนี้อยู่ใต้อาณัติ และเข้ารวมชาติ โดยอ้างคำว่า “สันติภาพ” นี่นับเป็นการพบกันของ 2 เจ้าหญิงที่มีความคิดแบบคนละขั้ว คนหนึ่งโหยหาอำนาจ อีกคนต้องการสันติภาพ ไม่แปลกที่เจ้าหญิงเนาซิก้า จะยอมเพราะไม่อยากให้คนในเมืองนั้นถูกฆ่า
แต่เป้าหมายจริงๆ ของเจ้าหญิงคูชาน่า คือการปลุกปิศาจ ขุนศึกยักษ์ ตัวสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ขึ้นมา ซึ่งเจ้าขุนศึกยักษ์นี้มีพลังทำลายมหาศาล และเคยเป็นเหตุให้อารยธรรมของมนุษย์นั้นล่มสลาย และทำให้โลกเต็มไปด้วยมลพิษ… แต่เจ้าหญิงคิดว่าหากเธอสามารถควบคุมเจ้าปิศาจนี้ได้ เธอก็จะสามารถสร้างโลกใหม่ได้ด้วยการทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์แมลง
ในขณะที่เจ้าหญิงเนาซิก้าเชื่อว่า น่าจะมีวิธีที่จะสร้างโลกที่มนุษย์และแมลงจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่ต้องเข่นฆ่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ผมชอบประเด็นนี้ที่หยิบยกประเด็นความต่างตรงนี้ เพราะในโลกความเป็นจริง เราก็รู้อยู่ว่าส่วนใหญ่ก็เหมือนกับเจ้าหญิงคูชาน่า ที่ต่างอยากจะมีอำนาจและกำลัง และในความเป็นจริงคนแบบนี้ก็จะชนะ จนทุกๆ คนต่างถูกกลืนกินทางความคิดว่าหากไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง เราก็จะต้องเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้…
แต่เรื่องนี้กลับให้คนที่อยู่ฝั่งสันติภาพชนะ ซึ่งแม้จะไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ แต่สิ่งนี้เป็นแนวคิดที่ส่งผมต่อความคิดผมตอนนี้มากๆ ถ้าคนเรามีจุดยืนอยู่บนสันติภาพได้จริงๆ โลกของเราคงจะสงบและน่าอยู่ขึ้นกว่านี้ เรื่องนี้น่าจะให้เด็กๆ ได้ดู ให้เขาได้ซึมซับเรื่องแบบนี้บ้าง
ไปไกลละ…กลับมาถึงเรื่องที่ผมชอบในเรื่องนี้ดีกว่า…
ผมชอบที่เรื่องนี้สอดแทรกอะไรดีๆ ไว้ให้ได้ยิ้มตลอด อย่างตอนหนึ่งที่เจ้าหญิงเนาซิก้าได้เจอกับ สัตว์เลี้ยงของเธอที่ชื่อ เตโตะ ที่ลุงยูป้าเก็บมา ในตอนแรกมันกลัวและก็ขู่เจ้าหญิง แต่เจ้าหญิงกลับยื่นมือให้มันและแม้มันจะกัดเจ้าหญิง แต่เจ้าหญิงก็บอกว่าไม่เป็นไร และส้กพักเจ้าเตโตะก็นิ่งและก็สงบลง…
เป็นตอนที่รู้สึกดีตอนหนึ่งเลย เพราะผมว่าส่วนใหญ่ คนเราถ้าโดนทำร้ายก็มักจะตอบโต้ ยิ่งถ้าเป็นอะไรที่สู้เราไม่ได้ก็ยิ่งข่มเหงมัน แต่ถ้าหากบางครั้งเรา “ยอม” เป็นผู้ถูกกระทำและก็หยุดมันไว้เท่านั้น ไม่ตอบโต้ แม้ว่าจริงๆ แล้วเรามีกำลังมากพอ บางครั้งถ้าอีกฝั่งหนึ่งคิดได้ลดทิฐิตัวเองลง เขาอาจจะเดินกลับมาขอโทษและได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกคน…
อีกตอนหนึ่งคือตอนที่เจ้าหญิงคูชิน่าขู่ตัวประกันที่เป็นผู้อวุโสของเมืองหุบเขาแห่งสายลมว่า หากไม่ช่วยคุยกับประชาชนก็จะทำลายเมือง
ผู้อวุโสคนหนึ่งพูดว่า…
“หากท่านใช้ไฟ เราก็จะใช้ไฟรับมือเช่นกัน แต่ความร้อนของไฟไม่เคยทำให้อะไรงอกงาม ไฟทำให้ป่าเป็นเถ้าถ่านได้ภายในวันเดียว แต่น้ำกับลมทำให้ป่าไม้งอกงามเป็น 100 ปี”
ผมว่าจริงๆ แล้วแนวคิดสันติภาพ นั้นอาจจะยังคงห่างไกลจากสังคมของเราตอนนี้ แต่ผมยังเชื่อว่ายังมีใครอีกหลายๆ คนที่เชื่อว่ามันทำได้ เหมือนที่ John Lennon เคยกล่าวไว้ว่า
“You, you may say
I’m a dreamer, but I’m not the only one
I hope some day you’ll join us
And the world will live as one”
และเราก็ได้มีตัวอย่างให้ได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นท่านมหาตมคานธี, ท่านอองซานซูจี, แม่ชีเทเรซา หรือในไทยผมชอบ คุณสืบ นาคสเถียร นะ ไม่รู้ว่าเกี่ยวหรือเปล่าแต่ส่วนตัวผมว่าสันติภาพนั้นน่าจะไม่ใช่แค่กับคน แต่สิ่งแวดล้อมกับสัตว์ที่อยู่บนโลกนี้ ก็น่าจะให้ความสำคัญด้วย…
และสุดท้ายผมเชื่อว่าสันติภาพ เกิดขึ้นได้ต้องมีคนเริ่มและคงจะดี ถ้าเราจะเริ่มมันขึ้นจากตัวเราก่อน ขับรถก็ลองใจเย็นลง นึกซะว่าคนที่ร่วมถนนเป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักและใจดีกับเขา เข้าคิวซื้อของก็ใจเย็นๆ บางครั้งใครทำอะไรให้ขุ่นเคืองก็อภัยให้เขาบ้าง สร้างสันติภาพเล็กๆ ขึ้นในใจเราก่อน แล้วผมเชื่อว่ามันจะถูกส่งต่อไปถึงคนอื่นๆ ได้อย่างแน่นอนครับ…:)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– 10 อันดับอนิเมะที่อยากให้ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด
– Ano Hana … วันเพื่อน…:)
– NANA ความงดงามในภาพการ์ตูน
– ราเม็งแห่งความฝัน
– “ป้ายบอกทาง”
#Nausicaä