ถ้าให้ราเม็งเป็นเหมือนกับวิชาสักวิชาที่เราต้องเรียนในโรงเรียน ผมว่า มังงะเรื่องนี้เป็นสามารถเป็น “หนังสือแบบเรียน” ที่ดีได้เลยทีเดียวเพราะ ผู้เขียนนั้นเขียนได้เกี่ยวกับราเม็งได้อย่างละเอียดลึกซึ้งดีมากๆ และที่สำคัญที่ผมชื่นชมสุดๆ คือข้อมูลนั้นปึ้กมาก ซึ่งในท้ายของแต่ละเล่มจะมีเกร็ดเกี่ยวกับราเม็งมาให้เราได้รู้จักอาหารชนิดนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วย
เคยไหมเวลาที่คุณอยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เหตุผลหนึ่งที่เรามันจะให้กับตัวเองแบบง่ายๆ เพื่อให้ตัวเองสบายใจ คือ “ก็มันไม่มีเวลานี่หน่า…”
ผมเองก็เป็นอีกคนที่ชอบอ้างเหตุผลแบบนี้กับตัวเองและคนรอบข้าง… แต่ช่วงนี้ผมได้แรงกระตุ้นจากหลายๆ ด้านหนึ่งในนั้นคือหนังเรื่อง Jobs เป็นหนังชีวประวัติของ Steve Jobs ผมชอบมากครับ จนต้องมาอ่านหนังสือชีวประวัติของเขาที่เขียนโดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน (Walter Isaacson) ต่ออีกด้วย
ทำให้รู้เลยครับว่าเขาไม่ได้แค่เก่งอย่างเดียวแต่สิ่งผมว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างนึงมันคือ “ความหลงใหล” หรือว่า Passion นั้นเองครับ… ส่วนตัวเมื่อก่อนผมเคยคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเกี่ยวกับอารมณ์แต่ขาดเหตุผล แต่จากการได้อ่านชีวิตของ คุณสตีฟ ทำให้ผมได้รู้ว่าเรื่องบางเรื่องและบางอย่างมันไม่ต้องการเหตุผล ลองถ้าเราหลงใหลในอะไรบางอย่าง แบบลึ้กซึ้งและเข้าใจจากนั้นเราจะ Create ครับ เหมือนกับที่สตีฟหลงใหลในเทคโนโลยีและศิลปะในการออกแบบ และเขาจึงเอาสองอย่างนี้มาสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์ที่ฉีกจากกฏเกณฑ์ และถือเป็นนวตกรรมเปลี่ยนโลกที่ทรงคุณค่าและประสบความสำเร็จอย่างสูง… แต่กว่าจะทำได้อย่างนั้นผมว่าเขาก็ทุ่มเทให้กับงานของเขามากจริงๆ ทั้งแรงกาย ใจและเวลา อ่านแล้วรู้สึกอยากจะทุ่มเทให้ได้สักครึ่งนึงของคุณ Steve ครับ…
หลังจากอ่าน Steve Jobs จบ ด้วยอารมณ์อึนๆ ทำให้คิดถึงมังงะอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะหยิบมาพูดถึงในครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่มังงะที่โด่งดังอะไร แต่ผมชอบมากเป็นการส่วนตัว นั่นคือเรื่อง “ไอ้หนุ่มราเม็ง เปิปพิสดาร”(RA-A-MEN HAKKENDEN) ของ อ.KUBE Rokuro , KAWAI Tan
ซึ่งเป็นเรื่องของคุณฟูจิโมโตะ โคเฮ พนักงานบริษัทไดยูการค้า ที่เป็นราเม็งมาเนีย หรือคนที่คลั่งไคล้ราเม็ง…
แต่ละตอนส่วนมากก็จะเป็นการที่เขาจะต้องเขาไปช่วยแก้ปัญหาร้านราเม็งที่ขายไม่ดี ไม่งั้นก็แข่งทำราเม็งกับเซริซาว่า คู่ปรับของเขาในเรื่อง…
พูดไปมันก็เหมือนการ์ตูนทำอาหารธรรมดาๆ หน้าปกก็ต๊องๆ ดูแล้วไม่น่าจะสนุกได้เลย และมันจะมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมเกริ่นไว้ในตอนต้นล่ะ…ลองอ่านต่อดูนะครับ
ฟูจิโมโตะ เป็นราเม็งมาเนีย ที่มีความฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากจะเปิดร้านราเม็งเป็นของตัวเอง แต่เนื่องจากที่บริษัทที่เขาทำอยู่ห้ามทำงานพิเศษ และเขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะออกจากบริษัทมาเปิดร้านเป็นเรื่องเป็นราว แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่คลั่งไคล้ราเม็งแบบธรรมดา แต่เรียกว่า “หลงใหล” เลยก็ว่าได้ และเขาก็ศึกษาเกี่ยวกับราเม็งอย่างลึกซึ้งและที่สำคัญคือเขา ไม่ได้แค่ชอบอย่างเดียวแต่เขาทำด้วย โดยใช้เวลาหลังเลิกงานมาแอบมาเปิดร้านราเม็งรถเข็น หรือราเม็งแผงลอย
ที่อร่อย จนกลายเป็น “ร้านราเม็งแผงลอยมายา” ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะว่าราเม็งที่เขาทำนั้นอร่อยมาก แต่พอเริ่มมีชื่อเสียงหรือมีคนรู้จักเยอะขึ้น เขาก็จะหายไปและย้ายร้านไปเปิดที่อื่น!!!? พออ่านถึงตรงนี้ผมก็สงสัยว่ามันจะทำอย่างนั้นไปทำไมฟระ ในเมื่อถ้าชอบราเม็งมากก็น่าจะลาออกไปฝึกที่ร้านราเม็งสักที่ หรือไม่งั้นตัวเขาเองก็มีฝีมือ และก็ดูมีคนชอบเยอะก็น่าจะเปิดร้านเองไปเลย… แต่พอได้รู้เหตุผลของเขา มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมอยากอ่านเรื่องนี้ต่อมากๆ ครับ ที่เขาต้องเปิดราเม็งแผงลอยนั้น เขาทำไปเพื่อการหา “รสชาติของตัวเอง”ครับ… และการที่เราไปฝึกที่ร้านอื่นมันก็คงจะไม่ได้อะไรที่เป็นของตัวเอง และการเงินก็คงไม่มั่นคงเท่ากับทำอยู่บริษัทใหญ่ และถ้าออกมาเปิดร้านโดยที่ยังไม่รู้ว่าจริงๆ ตัวเองอยากจะทำราเม็งแบบไหน มันก็คงจะไม่มีประโยชน์ที่จะเปิด “ร้านของตัวเอง” ผมว่าน่าจะโดนใจมนุษย์เงินเดือนหลายๆ คนเลยทีเดียว ผมมีเพื่อนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนหลายๆ คน อยากจะทำอะไรสักอย่างเป็นของตัวเองด้วยเหมือนกัน แต่จะมีสักกี่คนที่จะพยายามเพื่อจะทำให้ได้จริงๆ ผมว่า ฟูจิโมโตะ เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ดีเหมือนกันนะครับ
ถ้าให้ราเม็งเป็นเหมือนกับวิชาสักวิชาที่เราต้องเรียนในโรงเรียน ผมว่า มังงะเรื่องนี้เป็นสามารถเป็น “หนังสือแบบเรียน” ที่ดีได้เลยทีเดียวเพราะ ผู้เขียนนั้นเขียนได้เกี่ยวกับราเม็งได้อย่างละเอียดลึกซึ้งดีมากๆ และที่สำคัญที่ผมชื่นชมสุดๆ คือข้อมูลนั้นปึ้กมาก ซึ่งในท้ายของแต่ละเล่มจะมีเกร็ดเกี่ยวกับราเม็งมาให้เราได้รู้จักอาหารชนิดนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วย
ดังนั้นนอกจากความสนุก ซึ่งไม่ทำให้ผิดหวังแล้ว อ่านเรื่องนี้ทำให้ผมรู้จักราเม็งประเภทต่างๆ เรียกว่าไม่ต้องไปถึงญี่ปุ่น เรื่องนี้ก็พาไปรู้จักราเม็งในพื้นที่ต่างๆ ของญี่ปุ่นได้หลายที่เลยครับ (แต่ถ้าจะให้ดีอยากไปชิมเองมากกว่า ฮ่าๆๆ)
และนอกจากนั้นที่ผมชอบคือ เรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงแค่เกี่ยวกับเรื่องราเม็งเท่านั้นแม้แต่ในแง่ธุรกิจก็เล่าได้อย่างเข้าใจ ซึ่งผมชอบที่ผู้เขียนที่หยิบยกประเด็นต่างๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นจริงกับคนที่ทำกิจการเกี่ยวกับราเม็ง
ขอยกตัวอย่างตอนนึงที่ผมชอบ เมื่อฟูจิโมโตะ ต้องไปศึกษาการตลาดเกี่ยวกับราเม็งที่ไต้หวันให้กับบริษัทที่เขาทำอยู่ แต่ดันไปเจอเหตุการณ์ที่เขาต้องช่วยเหลือผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะเปิดร้านราเม็งที่ไต้หวัน พอเขาได้ชิมราเม็งที่เขาทำนั้นรสชาติอร่อย ซุปเข้มข้น และเส้นก็ลวกได้พอดีแต่กลับไม่ถูกใจคนไต้หวันเลย ดังนั้นฟูจิโมโตะจึงไปลองชิมร้านดังๆ ที่ไต้หวันดู แต่ก็กลับพบว่า ร้านเหล่านั้นรสชาติไม่ได้ความเลย ซุปก็จืดชืด และเส้นก็นิ่มมากเกิน แต่สุดท้ายเขาก็พบว่าจริงๆ แล้วร้านเหล่านั้นไม่ได้ไม่อร่อย เพียงแต่คำว่า อร่อย ของคนไต้หวันกับคนญี่ปุ่นอาจจะไม่เหมือนกัน
อันนี้ผมเองก็เคยเจอกับตัวที่ร้านอาหารจีนชื่อดัง (ส่วนตัวไม่เคยทำใจชอบอาหารจีนได้เลยจริงๆ)
ที่ญาติผู้ใหญ่พาไปกินแล้วทุกคนบอกว่ามันอร่อยมาก แต่ส่วนตัวผมว่ามันจืดชืดสิ้นดีเลย ตรงกันข้ามผมชอบมิโซะราเมนอยู่ร้านหนึ่งที่รสชาติเข้มข้น แต่พอพาเพื่อนไปกินเขากลับรู้สึกว่ามันเค็มเกินไป ดังนั้นมันก็จริงที่ว่า คำว่าอร่อยของคนเรามันก็ต่างกัน
สรุปว่าจริงๆ แล้วมันคือความต่างของวัฒนธรรม ที่คนไต้หวันจะคุ้นชินกับอาหารรสชาติอ่อนๆ ในขณะที่คนญี่ปุ่นจะรู้สึกว่ามันจืดชืด ดังนั้นถ้าจะขายราเม็งที่ไต้หวันก็ต้องปรับเปลี่ยน
อีกตอนหนึ่งที่ผมชอบคือตอนที่พูดถึงร้านราเม็งเซริโบ ร้านราเม็งชื่อดังของ คุณเซริซาว่า ศัตรูคู่แค้นของ ฟูจิโมโตะ ที่ร้านของเขานั้นขายราเม็งอยู่ 2 ชนิดคือ ราเม็งรสอ่อน ที่ใช้ส่วนผสมและวัตถุดิบที่ดีเลิศราคาแพงอย่าง “ปลาอายุ” ทำออกมา กับราเม็งรสเข้มซึ่งปรุงขึ้นหยาบๆ โดยใช้วัตถุดิบชั้นเลว แต่ลอยหน้าด้วยมันวัวทอดจึงหอมกว่า และกลายเป็นว่าราเม็งที่ขายดีและเป็นเมนูแนะนำของร้านนี้คือ ราเม็งรสเข้ม ซึ่งคนที่มากินก็เข้าใจว่าราเม็งทั้ง 2 ชนิดนั้นใช้ส่วนผสมราคาแพงอย่าง ปลาอายุ ปรุงขึ้นมา แต่จริงๆ นั้นมีแค่ราเม็งรสอ่อนเพียงอันเดียวเท่านั้น แต่พอคนเจอกับคำว่า “เข้มข้น” ก็จะคิดว่าเป็นอันที่น่าจะอร่อยกว่า ผมชอบเหตุผลที่คุณเซริซาว่าบอกมากครับ เขาบอกว่า คนเหล่านั้นไม่ได้กิน “ราเม็ง” แต่คนเหล่านั้นกิน “ข่าวสาร” ที่บอกต่อกันมาในอินเตอร์เนท แม้จะเป็นข้อมูลที่ผิดและถูกบิดเบือนไปแค่ไหนแต่ถ้าคนบอกต่อไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็นว่าคนเหล่านั้นก็เลือกที่จะเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นคือ ความจริง และถ้าทำให้ร้านขายดีก็ไม่จำเป็นจะต้องไปแก้อะไร…
แม้จะรู้สึกเหมือนถูกด่านิดๆ แต่ก็จริงนะครับ หลายๆ ครั้งอาจจะเลวร้ายกว่ากรณีร้านเซริวโบนี่ด้วยซ้ำ ผมว่าหลายๆ คนน่าจะเคยเจอเหมือนผมคือพลาดไปกินร้านที่มีการบอกต่อกันว่าอร่อยนัก อร่อยหนา ในเวบไซท์ต่างๆ แต่พอไปกินจริงๆ รสชาติดันชวนเงิบไปเลยก็มี
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในตัว ฟูจิโมโตะ แม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่พนักงานบริษัทที่ดีนัก ที่ชอบอู้งาน งีบด้วย แถมยังกลับเร็ว โชคดีที่ยังมีงานเกี่ยวกับ
ราเม็ง
ที่ทำให้เขามีประโยชน์ต่อบริษัทอยู่บ้าง แต่พอเลิกงาน เขาก็ใช้เวลาที่หากเป็นบางคนก็คงจะขอพักผ่อน ไปชิลล์ หรือทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เรารัก แต่ฟูจิโมโตะซื่อตรงและทุ่มเทกับสิ่งที่ตัวเองรักโดยการใช้เวลาตรงนั้นเพื่อมาเปิดร้านแผงลอยเพื่อหา “ราเม็งของตัวเอง”
จริงๆ แล้วเรื่อง “เวลา” น่าจะเป็นข้ออ้างที่คนใช้ดับฝันตัวเองมากที่สุดอันหนึ่งเลย ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ที่บ้านเขาทำกิจการที่ใหญ่โตมากอันหนึ่ง และพอถึงยุคนี้ที่เขาต้องขึ้นมาเป็นผู้บริหาร แน่นอนครับว่า ทำกิจการของตัวเองมันต้องหนักอยู่แล้ว ต้องบริหาร ประชุม เจอลูกค้า ต่อยอดธุรกิจ มีปัญหาอะไรในบริษัทก็ต้องแก้ นั่นคือหน้าที่ของเขา ทำงานจันทร์ถึงเสาร์แบบฟูลไทม์ เวลาว่างของเขาแทบจะไม่มี แค่เจอแฟนนี่เรียกว่าต้องจองคิวกันเลยทีเดียว แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาดันชอบและคิดว่าอยากจะทำให้ได้ นั่นคือ “อยากเล่นดนตรีเป็น” แต่การจะเล่นเครื่องดนตรีอะไรสักชิ้นให้เป็น หากใครเคยลองหัดอะไรสักอย่างจะรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยนะครับ และที่สำคัญถ้าอยากจะเล่นเป็นนั้นต้อง “ซ้อม”
หมายความว่าเขาต้องมี “เวลา” ให้มันมากพอที่จะซ้อม อาจดูแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคนอย่างเขา แต่สุดท้ายเขาก็ได้เจอกับ “อุคุเลเล่” เครื่องดนตรีที่จะพกไปไหนก็สะดวก และเวลาที่เขาใช้เพื่อซ้อมก็คือ เวลาที่คนกรุงเทพฯ ทุกคนน่าจะต้องเจอทุกเช้าและเย็นเป็นประจำนั่นก็คือตอน “รถติด” นั่นเอง เพื่อนผมมันต้องขับรถจากพระราม 9 ไปลาดกระบังทุกวัน คิดดูว่าจะต้องเจอรถติดกันวันละกี่ชม. แต่สำหรับมันเอ๊ย…เขาแล้ว นี่คือเวลาที่มีค่าที่เขาไม่ปล่อยให้มันเสียไปกับการนั่งด่าการจราจรที่ก็รู้อยู่ว่าแม่งไม่มีวันแก้ได้ในช่วงอายุขัยของเราแน่นอน แต่เขาใช้มันเพื่อทำความฝันอย่างหนึ่งของเขาให้เป็นจริง ครับอาจจะฟังดูฮาดีนะครับ แต่ตอนนี้ไอ้เพื่อนผมคนนี้ มันเล่นอุคุเลเล่เป็นแล้ว
หากคุณมีอะไรสักอย่างที่อยากทำ ลองนึกดูดีๆ ว่าเราจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหนเพื่อสิ่งนั้น ที่ละนิดๆ อาจไปถึงช้าหน่อยแต่ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วมานั่งแก้ตัวกับตัวเองหรือกับคนอื่นว่า “ไม่มีเวลา” นะครับ…
หลังจากอ่านมังงะเรื่องนี้นอกจากจะได้แรงบันดาลใจที่ดีแล้วมันก็ทำให้ผมน้ำหนักขึ้นด้วย เพราะอ่านทีไรเนี่ยอยากกินราเม็งทุกที จนตอนนี้กลายเป็นอาหารโปรดอันดับ 1 ในใจผมไปแล้ว ว่าแล้วก็ขอตัวไปทำความฝันประจำวันนี้สักหน่อย นั่นคือไปหาราเม็งอร่อยๆ กินสักชาม…:)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– “ป้ายบอกทาง”
– 24 ชม.
– ใจบันดาลแรง
– 10 อันดับการ์ตูนขายดีที่ญี่ปุ่นในรอบครึ่งปี 2013
– แรงบันดาลใจ
#ราเม็ง