อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า นอกจากวัฒนธรรมและปรัชญาของญี่ปุ่นแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมติดตามก็คือวงไอดอล AKB48 (จริงๆ ก็ติดตามมันหมดทั้งตระกูล 48 นั่นแหละ) ดังนั้นเป้าหมายหนึ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือ “อากิฮาบาระ” สถานที่อันเป็นเสมือน “บ้านเกิด” ของวงนี้
เหตุนี้เมื่อมีเวลาว่างจากภารกิจอันหนักหนา ผมก็ไม่พลาดที่จะปลีกตัวมาอากิฮาบาระทันที การเดินทางมาที่นี่ง่ายมากครับ จากสถานีอากิฮาบระ ก็เดินมาตามทางออก Akihabara Electric Town ก็จะเจอป้าย AKB48 ติดอยู่ตลอดทาง ไล่มาตั้งแต่บันไดเลื่อน ที่จะมีป้ายติดคู่กับป้าย “ระวังคนแอบถ่ายกางเกงใน” ตลอดทาง ซึ่งเท่าที่ผมอยู่ญี่ปุ่นมา ก็จะเห็นป้ายแบบนี้ที่อากิฮาบาระเท่านั้นล่ะครับ ดังนั้นมันก็เป็นสิ่งที่แสดงความน่ากลัว และน่าหวาดระแวงของสถานที่แห่งนี้ได้เหมือนกัน และเมื่อออกจากทางออกนี้ปุ๊บ ก็จะเห็นตัวร้านตั้งอยู่ตรงหน้าครับ
เมื่อมาถึงหน้าร้าน AKB48 Café & Shop ก็ต้องบอกว่าคนเยอะมาก !!! เยอะจนต้องตั้งแถวกันเกือบ 20 แถว (เกือบจะล้นไปที่กันดั้ม คาเฟ่ ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ) ไปสืบมาก็ได้ความว่าจะมีการถ่ายรายการย่อมๆ ของเมมเบอร์ (ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเมมเบอร์ชื่อดังอะไรนัก เพราะตอนช่วงที่ผมไป เมมเบอร์หลักๆ กำลังอยู่ในช่วงโดมทัวร์ครับ) โดยแถวมันจะแบ่งเป็น 3 แถว ได้แก่ 1. แถวสำหรับ AKB SHOP ฝั่งซ้าย 2. แถวสำหรับ AKB CAFÉ และ 3. แถวสำหรับ AKB SHOP ฝั่งขวา ซึ่งผมเริ่มด้วยการต่อแถว AKB SHOP ฝั่งซ้ายมือ เพราะเห็นว่ามีคนน้อยที่สุดครับ
แต่คือพอเข้าไปใน SHOP ซ้ายมือจริงๆ ต้องบอกว่ามันเป็นร้านที่ “ถ้าไม่คลั่งจริงๆ คงไม่มีใครซื้อแน่นอน” เพราะของที่ขายส่วนใหญ่ คือภาพพร้อมลายเซ็น ในราคา 1,500 เยน แต่เป็นภาพที่ “ปรินท์” มาทั้งนั้น คือไม่ใช่ลายเซ็นที่เซ็นกับมือเลยสักอันเดียว หรือจะเรียกง่ายๆ ว่าเป็นภาพปรินท์ลงกระดาษแข็งนั่นล่ะครับ นอกจากภาพแล้ว ก็จะมีกระเป๋าผ้า ที่สกรีนภาพเมมเบอร์ลงไป แต่คุณภาพก็ไม่ค่อยดีนัก จะเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนเวลาเราไปเที่ยวตลาดน้ำบ้านเรา แล้วจะมีพวกร้านที่ “รับปรินท์ภาพถ่ายลงเสื้อ” อะไรแบบนั้น คือสีก็จะซีดๆ และดูไม่คุ้มค่ากับราคา ที่ตีเป็นคนไทยก็หลายร้อยบาทเลยทีเดียว
หลังจากผิดหวังกับร้านฝั่งซ้ายมือไป ผมก็มายืนต่อแถวเพื่อเข้า SHOP ฝั่งขวามืออีกครั้ง (จริงๆ คนมันไม่ได้เยอะขนาดนี้นะครับ แล้วแต่เวลา บางวันก็เดินเข้าไปได้ง่ายๆ เลย) ตอนนั้นเพื่อนผมขอตัวไปเที่ยวที่อื่นก่อนละ เพราะว่าอากาศตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 36 องศา (ร้อนกว่าไทย) ยืนกันจนตาวาว (ฮา) แต่ข้อดีของการยืนรอก็คือว่า “หน้าร้านมันมี WIFI ฟรี !!!” ซึ่งถือว่าสวรรค์โปรดอย่างยิ่ง เพราะญี่ปุ่น หาไวไฟฟรีแทบไม่ได้เลย แม้แต่ร้านอาหารหรือคาเฟ่ต่างๆ ก็ต้องเสียเงินซื้อแทบทั้งสิ้น
และร้านขวามือนี้แหละ ที่เป็นเหมือนทีเด็ดของงาน เพราะมันผลาญเงินผมไปรวมๆ ก็เกือบจะหมื่นบาท (!?) คือตอนซื้อ ตอนจ่ายเงินเยนนี่มันไม่ค่อยรู้ตัวหรอกครับ ภายในร้านนี้จะมีของจิปาถะ ขายในราคาแตกต่างกันไป และจะมีเด็กๆ เยอะมาก ของที่ขายก็มีตั้งแต่ พวงกุญแจ แฟ้ม พัด ธงเล็กๆ ธงขนาดเท่าตัวจริง เมาส์คอมพิวเตอร์ เรื่อยไปจนถึงลูกอมและขนม ซึ่งผมก็ซื้อมาลองกินแล้วครับ สรุปว่ามันก็ไม่ได้อร่อยเท่าไหร่นัก แต่เชื่อว่าทั้งผมและคนที่ซื้อหลายๆ คน หลวมตัวไปกับภาพเมมเบอร์บนกล่อง (ฮา) ยังไงก็แล้วแต่ ภายในร้านก็จะมีหมวดสินค้าราคาถูกเช่นกันครับ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อล็อตเก่าๆ (อย่างเช่นเสื้อโดมทัวร์ สมัย 1830 ในโตเกียวโดม) แต่สำหรับแฟนๆ ของวงอื่นที่ไม่ใช่ AKB ไม่ว่าจะเป็น HKT, NMB, SKE ก็ต้องบอกว่ามันไม่ค่อยจะมีของขายเลย จะมีก็แต่พวกกิ๊ฟช็อปเล็กๆ เท่านั้นเองครับ
ผมไม่สามารถต่อคิวเพื่อเข้าไปใน AKB CAFÉ ได้ เนื่องจากคิวยาวมาก และมีเวลาค่อนข้างจำกัด ที่สำคัญระหว่างที่เลือกของใน SHOP นั้น มันจะมีวีดีโอที่ให้เหล่าเมมเบอร์ มาแนะนำอาหารของตนเอง (ผมได้ดูผ่านๆ) อย่างเช่นของ อิตาโนะ โทโมมิ จะเป็นเหมือนข้าวแต่งเป็นรูปกระต่าย หรือของทาคาฮาชิ มินามิ ก็จะเป็นเมนู “ข้าวผัดทาคามินะ” อะไรแบบนี้ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยตื่นเต้นหรืออยากลองเท่าไหร่ เพราะราคาแต่ละจาน เอาไปกินบุฟเฟต์หรูๆ ในบริเวณใกล้เคียงได้อย่างสบายๆ ดังนั้นผมเลยตัดสินใจไปที่อื่นแทน
ที่ๆ ว่าก็คือร้าน “ดอน คิโอเต้” ในอากิฮาบาระ ซึ่งเป็นร้านขายสินค้าที่คนไทยรุ้จักกันดี ตามสโลแกนที่ว่า “อยากได้อะไร ที่นี่มีหมด”… แต่ที่แตกต่างก็คือร้าน ดอน คิโอเต้ สาขาอากิฮาบาระ จะมี AKB SHOP ย่อมๆ ตั้งอยู่ในชั้น 5 และมี AKB48 THEATRE ตั้งอยู่ในชั้น 8 และในช็อปนี้จะมีราคาถูกกว่าช็อปทางการครับ จะมีเสื้อขายตัวละ 1,900 เยน ซึ่งอาจจะเป็นเสื้อล็อตเก่า แต่ก็ยังมีคุณภาพดี และยังมีคนเลือกซื้ออยู่มากมาย
น่าเสียดายที่ร้านส่วนใหญ่ที่ไป ห้ามไม่ให้ถ่ายรูปอย่างเด็ดขาด ผมจึงไม่สามารถเก็บภาพภายในมาฝากทุกท่านได้ครับ แต่อยากบอกว่าร้านมีขนาดเล็กมาก ถ้าเปรียบง่ายๆ ก็อยู่แค่ประมาณ 3 ห้องแถวเท่านั้น (แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ช็อป 2 ช็อป และ คาเฟ่ อยู่ตรงกลาง) การเดินเลือกสินค้า จึงเป็นเหมือนการเดินวน และเลือกสินค้าด้วยความรวดเร็วที่สุด เพื่อทำเวลา ให้พนักงานเรียกแถวต่อไปเข้ามานั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ผมพยายามจะเดินขึ้นไปที่เธียร์เตอร์ เพื่อถ่ายภาพมาฝากผู้อ่าน แต่ทางทีมงานก็ไม่เปิดโอกาสให้คนขึ้นไปในวันที่ไม่มีการแสดงครับ ผมเลยถ่ายภาพจากหน้าบันไดเลื่อนชั้น 7 มาแทน
ผมใช้เวลาอยู่ญี่ปุ่นในครั้งนี้ 9 วัน และเดินทางไปที่อากิฮาบระหลายครั้ง ในขณะที่เพื่อนๆ ก็ไปเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่มีชื่อเสียง แต่สำหรับผม ผมอยากจะบอกว่า การไปเที่ยว ไม่ว่าที่ไหนก็แล้วแต่ ผมเชื่อเสมอว่าให้เลือกไปใน “ที่ที่เราอยากไป” ไม่ใช่ “ที่ที่คนอื่นบอกให้ไป” เพราะเราจะไม่มีความสุขเลย หากไปที่ที่เป็นความประทับใจของคนอื่น ไม่ใช่ของตนเอง ผมไม่ถือสาอะไรที่คนจะบอกว่าผมใช้เวลาไม่คุ้มค่ากับการไปญี่ปุ่น แต่อยู่เพียงแค่ในระแวกนี้ ผมไปทำงานที่ตนเองรัก และก็ใช้เวลาว่างไปกับสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมคิดว่าแค่นี้ทริปญี่ปุ่นของผมก็สนุกที่สุดแล้วล่ะครับ
นอกจาก AKB48 CAFÉ & SHOP ที่อากิฮาบาระ แล้ว ผมยังได้ไป SKE48 CAFÉ & SHOP ที่มาเปิดชั่วคราวในห้าง PARCO ตรง ชิบูย่า และไปร่วมงานเล็กๆของวงไอดอล Anna☆S ซึ่งผมจะมาเขียนในคราวต่อไปครับ
ปล. Follow ผมได้ทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii และติดตามข่าวสารของ AKB48 ได้ทาง https://www.facebook.com/akb48thailandfanclub ครับ ^^
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– Kamen Rider Girls ไอดอลไรเดอร์สาวสุดเซ็กซี่!!
– ONE OK ROCK วงร็อคญี่ปุ่นที่กำลังมาแรง!!
– ไอดอลญี่ปุ่น (Japan Idol)
– Depapepe อะคูสติกดูโอ้แห่งเอเชีย
– PV MV ตัวย่อหน้าคลิปวิดีโอที่คุณอาจสงสัย?
#AKB48