ถ้าเรา“รู้” ว่าจะตายเมื่อไหร่ เราก็คงอยากจะใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่ากว่าที่เป็นอยู่…คิดไปพลางผมก็นึกถึงมังงะเรื่องหนึ่งที่ตรงกับสิ่งที่มันวนเวียนอยู่ในหัวของผมตอนนี้…นั่นก็ คือ “อิคิงามิ”
มีอยู่วันหนึ่ง ผมไปตัดผมกับพี่ต้น ช่างตัดผมประจำที่ผมไปตัดด้วยบ่อยๆ ผมชอบเพราะตัดกับแกกี่ครั้ง ผมบอกว่าเอาเหมือนเดิม ไม่เคยออกมาเหมือนเดิมเลยสักครั้ง นี่คือความเจ๋งของแก และอีกอย่างที่ผมชอบในตัวแกคือ อัธยาศัยของแก ที่ชอบคุยเล่นเฮฮากับลูกค้า
แต่วันนี้ผมสังเกตเห็นว่าแกตัดผมลูกค้าด้วยความจริงจัง นิ่งๆ กว่าปกติ จนเดินทางมาถึงคิวผม พอเจอหน้า ผมสวัสดี… แต่แกยิงคำถามแรกมา แทนคำทักทายว่า “ในวินาทีที่เราตายไปแล้ว พอรู้ตัวว่าตายปุ๊ปเนี่ย นายคิดว่า นายจะคิดอะไรเป็นอย่างแรกในตอนนั้น…? ”
พระเจ้า…ผมอ้าปากค้างนิดหน่อย อึ้ง และทำหน้ามึนเล็กน้อย เพราะตั้งตัวไม่ทัน และยังไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน พยายามลองรวบรวมความคิดและจินตนาการทั้งหมด และคิดตาม… ถ้าผมตาย ตามที่ได้เคยถูกปลูกฝังมาแต่เด็กว่าเป็นคนเลวๆ หน่อยก็ไปซัมเมอร์กันยาวๆ ในนรก ถ้าเป็นคนดี ก็คงได้ไป ชิลล์ บนสวรรค์ ก็คงต้องไปสักอันหนึ่งในนี้ล่ะมั้ง…
ดังนั้นผมจะทำอะไรได้มากกว่านี้ล่ะ ผมจึงตอบไปทื่อๆ อย่างคนไม่มีห่วงไปว่า “ผมก็คงไม่คิดอะไรมาก และก็คงจะทำได้แค่ “รอ” ครับว่า… จากนี้จะมีใคร มาพาเราไปไหนต่อรึเปล่า… ไม่แน่อาจจะได้ไปสวรรค์ก็คงดี”
ผมรู้สึกว่าตอบได้ซากอ้อยมาก จึงถามตัดบทตัวเองไปว่า “ทำไมอยู่ๆ พี่ถึงได้ถามผมถึงเรื่องนี้ล่ะ?”
เขาตอบผมว่า หลานเขาเนี่ย อายุยังน้อยๆ อยู่เลย ไปแว้นมอเตอร์ไซค์ ไม่ใส่หมวกและประสบอุบัติเหตุ และ…ตายครับ แกเลย อยากรู้ว่าตอนนั้นหลานแกจะกำลังคิดอะไรอยู่… และทิ้งท้ายไว้อีกว่า “ถ้ารู้ว่าจะออกไปแล้วตายเนี่ย มันจะอยากกลับมาแก้ไขอะไรรึเปล่าก่อนจะออกไป…”
แหม…ตัดผมด้วยโหมดดราม่างี้ ผมก็ไปไม่เป็นเลย แต่ก็ออกมาดีกว่าที่ปกติแกตัดให้ผมนะ ดูไม่ดีไซน์เยอะเกิน ปกตินี่ตัดตามใจฉันมากๆ
พอตัดเสร็จ ระหว่างขับรถออกมาจากตรงนั้น คำพูดที่แกทิ้งท้ายไว้ ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผม… นั่นสิครับ ถ้าเรารู้ว่าเราจะตาย เราคงทำทุกสิ่งเพื่อไม่ให้เราตายอยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าเราหนีไม่ได้ล่ะ… โห…นี่มันเป็นอะไรที่โครตยากเลย แต่ด้วยนิสัยส่วนตัว ผมไม่ค่อยชอบคิดว่าอยากจะกลับไปแก้ไขอะไรในอดีต จึงตอบไปแบบนั้น แต่ยิ่งคิดไปก็ยิ่งไม่มั่นใจว่า ผมคิดอย่างที่ตอบไปจริงๆ หรือเปล่า คือบางทีนะ บางทีผมมาคิดต่อว่า สมมุติว่าผมตาย แล้วมันดัน ไม่มีนรก หรือสวรรค์อะไรอย่างนั้นล่ะ จะทำไงดีอ่ะ ผมจะจบลงตรงนี้เท่านี้จริงๆ ใช่มั๊ย ไม่ได้ไปชิลล์ที่ไหนต่อเหรอ มันอาจจะดูขัดกับสิ่งที่ผมเคยเรียนรู้มา แต่คือผมไม่เคยตายไง เลยไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าผมตายตอนนี้เลย และมันดันไม่มีอะไรต่อไปจริงๆ แค่คิดถึงตรงนี้ มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าคงจะเสียใจมากที่ยังไม่ได้ทำอะไรที่ผมอยากทำต่ออีกเยอะแยะมากมาย… ถ้าเรา“รู้” ว่าจะตายเมื่อไหร่ เราก็คงอยากจะใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่ากว่าที่เป็นอยู่…คิดไปพลางผมก็นึกถึง มังงะเรื่องหนึ่งที่ตรงกับสิ่งที่มันวนเวียนอยู่ในหัวของผมตอนนี้…นั่นก็คือ “อิคิงามิ”
อิคิงามิ เป็นมังงะที่ผมจัดให้เป็นเรื่องที่ดราม่าที่สุดในหมู่มังงะที่ผมได้เคยอ่านมาเป็นผลงานของ อ.MASE Motoro อิคิงามิ พูดถึงประเทศหนึ่งที่มีกฎหมายที่สำคัญ ชื่อว่า “กฎผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ”
ที่คนหนุ่มสาว 1 ใน 1,000 คน จะถูกกำหนดวันเสียชีวิตไว้ล่วงหน้า ในช่วงอายุ 18-24 ปี ด้วยนาโนแคปซูลซึ่งผสมอยู่นวัคซีนที่ชื่อว่า “วัคซีนผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ” ซึ่งประชาชนทั่วประเทศจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนนี้ทุกคนตอนเข้าโรงเรียนประถม
และจะไม่มีวันรู้ตัวจนกว่าจะถึงเวลาก่อนกำหนด 24 ชม. เท่านั้น ซึ่งจะมี “ผู้ส่งสาส์น” มาส่ง “อิคิงามิ”หรือสาส์นมรณะนี้ที่บ้าน
ซึ่งผู้ที่ได้รับแจ๊คพ๊อตนี้ ก็จะตายอย่างแน่นอนตามเวลาที่กำหนดไว้บนบัตร และผู้ที่ตายเนี่องจากวัคซีนผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาตินี้ จะถือว่าเป็นบุคคลผู้ทรงเกียรติ์ เพราะได้ทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือยอมสละชีวิต (ซวยเห็นๆ) เพื่อให้คนอื่นๆ ในประเทศนั้นได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิต
เรื่องนี้ดำเนินเรื่องด้วยตัวเอกของเรื่องที่ชื่อว่า ฟูจิโมโตะ เขามีอาชีพเป็น “ผู้ส่งสาส์น” หรือคนที่ไปดิลิเวอรี่อิคิงามิถึงบ้านของคนที่ได้แจ๊คพ๊อตนี้นี่เอง
สลับกับเรื่องราวของ คนที่ได้รับสาส์นนี้ ว่าชีวิตเขาก่อนและหลังได้รับสาส์นนั้นมันเป็นยังไง…
พออ่านถึงตรงนี้ แค่คิดโดยไม่ต้องอ่านก็พอนึกภาพออกใช่ไหมครับ ว่าไอ้คุณฟูจิโมโตะ จะต้องเจออะไรบ้าง คนที่เปิดประตูมาแล้วเจอเขาพร้อมกับป้ายอิคิงามิ คือมันไม่ได้เหมือนมาส่งพิซซ่าไง ที่คนเปิดมาเจอแล้วจะแบบยิ้มให้ ลั้นลา แต่นี่คือคนที่ต้องมาบอกว่าคุณ ลูกคุณ สามี ภรรยาของคุณ หรือคนในครอบครัวของคุณ จะต้องบ๊ายบายโลกนี้ไปอย่างแน่นอนนับจากนี้ไปอีก 24 ชม. ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เจอการต้อนรับที่ดีนักแน่นอนอยู่แล้วพอจะนึกออกใช่ไหมครับ
และจริงๆ ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกยินดีกับการปฏิบัติ “หน้าที่อันทรงเกียรติ์” นี้เช่นกัน งานของเขานั้น ไม่ต่างอะไรจากยมฑูต แค่นึกว่าเราจะต้องไปบอกใครสักคนแบบนั้นผมก็รู้ตัวแล้วว่าคงทำไม่ได้แน่ๆ
เรื่องราวนำพาคุณฟูจิโมโตะไปสู่คนมากมายและยิ่งเขาไปส่งอิคิงามิมากขึ้นเขายิ่งทวีความสงสัยในกฏผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติมากขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ก็ต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ เพราะไม่งั้นอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นคนที่มีความคิดเชิงด้วยพัฒนา (ในเรื่องนี้หากใครถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้มีความคิดเชิงด้อยพัฒนา ก็ประมาณว่าเป็นคนที่ขายชาติและทรยศต่อกฎของบ้านเมืองมีโทษหนักมากประดุจฆ่าคนมา ต้องถูกลงโทษสถานหนักและกระทบไปถึงครอบครัวที่ต้องหลบหน้าเพราะจะถูกสังคมประณามอีกด้วย)
โดยส่วนตัวเท่าที่ผมอ่าน นอกจากเรื่องของคุณฟูจิโมโตะที่ออกไปทางการเมืองแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่เขาตั้งใจจะพูดถึงคือ ความตายที่ทำให้เห็นคุณค่าของการมีชีวิต เพราะเมื่อถึงจุดที่บีบคั้นคนเราก็สามารถคิดและทำอะไรได้อย่างไม่น่าเชื่อ… โอเคถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือ ผมคิดว่ามังงะเรื่องนี้กำลังถามผมว่า
“ถ้าเรารู้ว่าตัวว่าเหลือเวลาอีกแค่ 24 ชม. สุดท้ายในชีวิต เราจะทำอะไร?” นั่นแหละ
หากเรารู้อย่างแน่นอนว่าเราจะต้องตาย เราคงใช้เวลา 24 ชม. ที่เหลือแตกต่างกันไปอย่างหลากหลาย บางคนอาจจะออกจากงานที่เขารักและทุ่มเทมาตลอดจนไม่ได้พบหน้าคนที่เขารัก มาใช้เวลาอยู่กับเขาในช่วง 24 ชม.สุดท้ายนี้และเขาอาจพบว่าเวลาที่เขาเหลือนั้นมันช่างน้อยเหลือเกิน บางคนอาจจะใช้เวลาที่เหลือไปแก้แค้นคนบางคนที่มันเคยทำร้ายเรา และบางคนอาจแค่นั่งอยู่เฉยๆ และรอความตายเพราะไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี และถ้าถามผมตอนนี้ ผมบอกตรงๆ ว่าคิดไม่ออกเลย
แต่มีบางอย่างที่ผมได้จากเรื่องนี้และอยากเล่าให้ฟัง…
ผู้ชายคนหนึ่ง โดนครอบครัวทอดทิ้ง และต้องกลายเป็นพวกพเนจร หรือ Homeless หลังจากได้อิคิงามิ และรู้ตัวว่าจะตายเขาตัดสินใจใช้สิทธิพิเศษของอิคิงามิ นั้นคือสามารถใช้อิคิงามิแทนเงินซื้ออะไรก็ได้ ไปซื้อของมีค่ามากมาย แต่ทว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อความสุขของตัวเอง แต่เขามอบของเหล่านั้นให้กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็น Homeless เหมือนกัน
หลังจากนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เอาของที่ได้มาไปขาย และเปิดศูนย์ดูแลผู้ยากไร้… เขาใช้ความตายของเขาเปลี่ยนเป็นโอกาสให้คนอื่นๆ ได้มีชีวิตต่อไป…
กับผู้ชายอีกคนหนึ่งเป็น Loser ที่โดนเพื่อนๆ กลั่นแกล้ง รังแก จนชีวิตเขาเข้าขั้นป่นปี้ แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ แต่ขณะที่ชีวิตเขากำลังจะเริ่มเข้ารูปเข้ารอย
อิคิงามิ ก็ถูกส่งมาถึงเขาในคืนหนึ่ง เขาจึงหมดโอกาสที่จะมีวันพรุ่งนี้ และตัดสินใจใช้เวลาที่เหลืออยู่เพื่อแก้แค้นคนเหล่านั้นที่ทำให้ชีวิตเขาต้องป่นปี้และเป็นแบบนี้
แม้เขาจะแก้แค้นสำเร็จแต่สุดท้ายเขาก็ได้ก่ออาชญากรรมและแม้เขาจะตายไปแต่ครอบครัวที่คอยอยู่เคียงข้างเขา ต้องมารับผิดชอบแทนในสิ่งที่เขาก่อเอาไว้…และกลายเป็นครอบครัวของคนมีความคิดเชิงด้อยพัฒนาต้องย้ายบ้านหนีสังคม
สิ่งที่เขามีเหมือนกันคือเขามีชีวิตที่ขมขื่นและได้รับอิคิงามิ เหมือนกัน
แต่พวกเขาใช้เวลา 24 ชม.สุดท้ายในชีวิตต่างกันอย่างสิ้นเชิง และผลที่ได้รับก็ต่างกันโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
กลับมาที่คำถามของพี่ต้นอีกครั้ง หากเราตายไป ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีโลกหน้าหรืออยากจะกลับมาทำอะไรที่ยังไม่ได้ทำแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ เราไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ อาจจะยังพอมีเวลาให้เราได้ทำความฝันสักอย่าง สองอย่างของเราให้เป็นจริงได้…
หากพี่ต้นถามผมอีกครั้ง ผมอยากจะตอบใหม่แบบเท่ๆ ว่า “หากผมตาย ผมจะไม่สนใจและปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา เพราะผมได้ใช้ชีวิตของผมอย่างดีและมีคุณค่าที่สุดแล้วในทุกๆ วัน”
แต่ก่อนหน้านั้น ผมคงต้องเริ่มทำมันก่อน…:)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– ใจบันดาลแรง
– 10 อันดับการ์ตูนขายดีที่ญี่ปุ่นในรอบครึ่งปี 2013
– แรงบันดาลใจ
– การ์ตูนเป็นเรื่องของเด็กๆ
– BECK ปุปะจังหวะฮา การ์ตูนดนตรีสร้างแรงบันดาลใจ
#อิคิงามิ